พระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อคืนวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ซึ่งในตอนท้ายได้ทรงกล่าวถึงการเรียนประวัติศาสตร์ เข้าใจว่าในปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการน่าจะได้รับไปปรับปรุงบ้างพอสมควรแล้ว ทั้งนี้ขออัญเชิญมาไว้เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ทางเว็บสืบไป
พระตำหนักจิตรลดาฯ - สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชดำรัสในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 76 พรรษา ทรงเตือนให้รักษาป่า ดูแลน้ำให้ดี 15 ปีน้ำจืดจะหายากมาก ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวย จะไปซื้อหรือกลั่นน้ำจากทะเลคงลำบาก ทรงแนะใช้ "ควาย" แทนรถไถ เพราะราคาน้ำมันไม่มีทางลดลง ภาคใต้ยังน่าเป็นห่วงแม้สถานการณ์ดีขึ้น เมืองไทยจะรอดพ้นอันตรายได้เพราะคนดียังมีมาก และพร้อมไปปฏิบัติการในพื้นที่เสี่ยง
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม เวลา 16.30 น. สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ยังศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2551
คณะบุคคลต่างๆ ประกอบไปด้วย ผู้นำทั้ง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายบริหาร นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมด้วยคู่สมรส ฝ่ายนิติบัญญัติ นำโดยนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยข้าราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และคู่สมรส และฝ่ายตุลาการ นำโดยนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา และคณะข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พร้อมด้วยคู่สมรส รวมถึงหน่วยงานฝ่ายการเมือง และองค์กรอิสระ อาทิ สมาชิกวุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง คณะกรรมการการเลือกตั้ง สำนักงานอัยการสูงสุด ฯลฯ รวมถึงองค์กร มูลนิธิต่างๆ ในพระบรมราชินูปถัมภ์อีกหลายคณะ รวม 474 คณะ จำนวน 14,262 คน ต่างพร้อมใจกันเดินทางมาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อถวายความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จขึ้นที่ประทับภายในศาลาดุสิดาลัย ต่อจากนั้น ท่านผู้หญิงมนัสนิตย์ วณิกกุล ราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กราบบังคมทูลรายงานสรุปคณะบุคคลที่เข้าเฝ้าฯ และขอพระราชทานพระราชานุญาตให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล ในนามผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท
จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีพระราชดำรัสตอบ ใจความว่า
ข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านผู้เป็นกำลังสำคัญของบ้านเมือง โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐบาล ที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร ผู้แทนของรัฐวิสาหกิจ องค์กรอิสระ สภา สถาบัน สมาคม ชมรม มูลนิธิ ลูกเสือชาวบ้าน และประชาชนทุกหมู่เหล่า จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ พร้อมใจกันเดินทางมาอวยชัยให้พรข้าพเจ้าในวันนี้ โดยมีท่านนายกรัฐมนตรีเป็นผู้กล่าวอำนวยพรแก่ข้าพเจ้า ในนามของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกมีกำลังใจยิ่งขึ้น ที่จะทำงานช่วยเหลือประชาชนต่อไป เพราะเป็นพระราชปณิธานขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่าทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทย แล้วก็ทรงพร้อมที่จะทรงงานเพื่อช่วยรัฐบาลของพระองค์ ในการทำนุบำรุงประชาชนทั่วขอบขัณฑสีมาของไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
แม้ว่าปีนี้ข้าพเจ้าจะอายุ 76 แต่เมื่อได้รับพรจากท่านทั้งหลาย ก็ทำให้มีกำลังวังชาเพิ่มขึ้น ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย ตลอดชีวิตของข้าพเจ้า พ่อ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอง และต่อมาก็มีท่านอาจารย์แบน เป็นพระอริยเจ้า อยู่ที่สกลนคร ท่านก็สอนข้าพเจ้าและทุกๆ คนที่ไปกราบว่า ขอให้ทุกคนนึกถึงบุญคุณ ให้นึกถึงคุณของประเทศ ของแผ่นดินบ้าง ให้พยายามที่จะตอบแทนพระคุณของแผ่นดินอย่างสุดกำลัง เมื่อมีผู้พร้อมใจกันออกมาช่วยข้าพเจ้าเป็นแสนเป็นล้าน บ้านเมืองของเราก็คงจะเจริญรุ่งเรือง และลูกหลานไทยคงจะมีแผ่นดินที่ร่มเย็นเป็นสุขไว้เป็นที่อยู่อาศัยอย่าง ปลอดภัยต่อไปในภายภาคหน้า
มีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยร่วมกันทำเพื่อเป็นของขวัญให้กับ ข้าพเจ้า คือการปลูกป่า หลังจากที่ข้าพเจ้าได้เรียกร้องให้ประชาชนเห็นความสำคัญของป่าไม้ ต่อเนื่องกันมาเป็นสิบๆ ปี บัดนี้เป็นที่น่าชื่นใจมากว่าประชาชนก็เข้าใจ ข้าพเจ้าพยายามอ่านหนังสือต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา ได้ทราบว่าปัญหาต่อไปของโลก ของชาวโลก ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่จะมา เห็นเขาว่าประมาณอีกประมาณ 15 ปี น้ำจืดที่พวกเรารับประทานกันเนี่ยจะเป็นของที่หายาก ที่จะยากมาก ก็ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่า เมื่ออ่านทราบแล้วก็เกิดความร้อนใจว่า บ้านเรานี่ไม่มีแหล่งน้ำใหญ่ๆ มีแต่ป่า นี่ถ้าเผื่อคนไทยไม่ทราบว่าป่าไม้คืออะไร ป่าไม้ก็คือที่สะสมน้ำไว้ใต้ดินนี่เอง
"เพราะฉะนั้น ประเทศไทยนี่ก็มีประชากรจำนวนมาก ไม่ใช่น้อย ถ้าน้ำจืดต่อไปใน 15 ปีเป็นของที่หายาก ที่เรียกว่าแพง ถูกละสมัยนี้เขาเอาน้ำทะเลมากลั่นเป็นน้ำจืดได้ แต่ว่าค่าทำนี่แพงเหลือหลาย แล้วประเทศเราก็ไม่ใช่ว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยอะไรมาก ถ้าถึงขนาดต้องเอาน้ำทะเลมากลั่นเพื่อเลี้ยงประชากรนี่ ก็นึกว่าไม่ค่อยดีนัก เพราะฉะนั้นทำไมเราจะไม่รู้จักเก็บป่าไม้ ซึ่งเป็นแหล่งที่สะสมน้ำไว้ให้ดี อย่าพากันไปตัดคนละหนุบคนละหนับ ความจริงป่าไม้เนี่ยก็เป็นของคนไทยทั้งชาติ เป็นผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ ไม่มีสิทธิ์ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะแอบเข้าไปตัดแล้วก็ทำการค้าแต่ลำพัง แล้วต่อไปถ้าประเทศไทยขาดน้ำ จะทำยังไง เพราะเราก็ไม่ใช่ประเทศที่ว่าร่ำรวย"
ทุกครั้งที่ได้ทราบข่าวว่ามีการลักลอบตัดป่า ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และข้าพเจ้า จะรู้สึกไม่สบายใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนแนะนำข้าพเจ้ามาโดยตลอดถึงความสำคัญของ ป่าไม้ ว่าป่าไม้ของไทยมีความสำคัญหลายประการ คือเป็นต้นน้ำลำธารของแม่น้ำทุกสายในประเทศ และช่วยดูดซับน้ำไว้ในรากและใต้ดิน กลายเป็นน้ำใต้ดินให้เราใช้ ช่วยสร้างความชุ่มชื้น ดึงดูดให้มีฝนมาตกในพื้นที่ และช่วยต้านความแรงของน้ำป่าเวลาฝนตกหนัก อย่างเมื่อคราวที่แล้วไม่นานมานี่ที่แถวทางภาคเหนือ ที่บนป่าทางเหนือก็ขาดต้นไม้มาก แต่ก็ยังไม่หยุดการตัดป่า เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดมีพายุฝนรุนแรงน้ำป่าก็ถล่มลงมา เอาดินลงมาอย่างแรง แล้วก็มาเป็นอันตรายแก่หมู่บ้านของประชาชน อันนี้ก็น่าจะเป็นตัวอย่างที่เห็นแล้วเศร้า เศร้าใจ ที่เราไม่รู้จนทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พวกทางเหนือมันมีป่าไม้บนเขาแล้วไปลักลอบตัดซะหมด เวลาเกิดพายุร้ายแรงนี่เป็นภัยอันตรายมาก ดินถล่ม ชีวิตคนแย่
ส่วนกรุงเทพมหานครของเราได้ทำดีอยู่แล้วในการปลูกต้นไม้ ก็ขอให้ปลูกเพิ่มขึ้น ซึ่งข้าพเจ้าก็ทราบว่ายากเพราะว่าติดสายไฟ มีสายไฟ เรายังไม่สามารถมีเงินพอที่จะเอาสายไฟลงใต้ดิน เพราะฉะนั้นการปลูกต้นไม้ในเมืองต่างๆ ก็ยังเป็นปัญหาอยู่ แต่ว่าทางกรุงเทพฯ รู้สึกว่าพยายามทุกอย่างที่จะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่น่าอยู่ น่าสบาย แล้วก็เจริญรุ่งเรือง ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวว่าปีนี้กรุงเทพฯ ได้รับการโหวตจากพวกนักท่องเที่ยวให้เป็นที่ 1 ของโลก
ปีที่แล้วที่ข้าพเจ้าห่วงใยในความสะอาดของแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่ห่วงไปเฉยๆ ข้าพเจ้าจำได้ว่าบ้านของข้าพเจ้าอยู่ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เทเวศร์ แล้วก็แต่เช้าจะเห็นเรือของประชาชนมาทอดแห ตกปลา ได้ปลาเป็นจำนวนมากมาย แม่ข้าพเจ้าเห็นยังโบกมือเรียกเขาโหวกเหวกว่าขอให้แวะมาจะได้ซื้อปลาสดๆ ที่บ้านของตัวเองเลย อันนี้จำได้ติดหูติดตา แล้วตอนนี้ ตอน 70 กว่าก็ถามผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นยังไงบ้างปลาในแม่น้ำเจ้าพระยา เขาก็ตอบอย่างเศร้าว่า เดี๋ยวนี้แม่น้ำเจ้าพระยาเหลือแต่ปลาสวาย ซึ่งปลาสวายไม่อร่อยเลย ไม่อร่อยอย่างยิ่งเลย แต่ว่ามีเก่งอย่างคือมีความหนังเหนียว อยู่ได้ ไปไหนเจอะแต่ปลาสวาย
อันนี้ข้าพเจ้าฟังจากผู้เชี่ยวชาญแล้วไม่สบายใจ ถึงได้อ้อนวอนทุกคนว่า ให้พวกคนไทยเราช่วยกัน ให้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นที่ที่มีอาหารของคนไทยอย่างมากมาย จะไม่มีวันอดตาย คนจนก็แจวเรือ พายเรือไป แล้วก็ไปทอดแห ก็ได้ปลา คือมีความเป็นอยู่ที่ดี แต่เดี๋ยวนี้มันหมดไปแล้ว เพราะว่าเราได้ไปอนุญาตให้โรงงานต่างๆ อยู่ตลอดแม่น้ำเจ้าพระยา มีแยะ ใกล้ๆ อยุธยา บางปะอิน อยุธยา แล้วก็ปลาต่างๆ ก็คงทนไม่ได้ น้ำที่ทางโรงงานปล่อยลงไปโดยที่ไม่ทำความสะอาดเสียก่อนอย่างต่างประเทศเขา ปลาของเขาตายเอาๆ คนไทยก็ยังยากจน หวังจะพึ่งปลาในแม่น้ำเจ้าพระยาก็เขาก็รู้แล้วว่าแสนลำบาก พึ่งไม่ได้แล้ว เพราะปลามันอยู่ไม่ได้ อย่างสารเคมีต่างๆ เนี่ย ก็ไม่ควรที่จะอนุญาตให้โรงงานต่างๆ ทิ้งสารเคมีลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา เพราะต่างประเทศเขาก็ไม่ทำกันอย่างนั้น เขามีกฎหมายอย่างแข็งแรงที่ว่า ไม่สามารถจะทิ้งน้ำอะไรๆ ก็ได้ ลงไปในแม่น้ำเจ้าพระยา มันต้องทำความสะอาดเสียก่อน ก็ขอให้ทุกคนช่วยกันรักษาแม่น้ำลำคลอง ความสะอาดต่างๆ คือว่า ทำเหมือนอย่างที่ต่างประเทศเขาทำ พยายามให้ประชาชนเข้าใจว่า การทิ้งอะไรสารพัดชนิดลงไปในแม่น้ำเราก็ทำลายน้ำสะอาดตามธรรมชาติ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ว่ามันจะเป็นผลร้ายกับบ้านเมือง
ข้าพเจ้าเป็นทุกข์แทนชาวนาไทย ซึ่งก็ยังยากจน เพราะว่านอกจากน้ำมันแพงแล้ว ปุ๋ยก็ยังแพงมากอีกด้วย ข้าวของทุกอย่างพากันขึ้นตามราคาน้ำมันไปหมด อันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เวลาท่านทรงทอดพระเนตรเห็น อย่างไปทรงเยี่ยมตามจังหวัดต่างๆ เห็นประชาชนเลิกใช้ควายไถนามาใช้รถ นัยว่าสมัยใหม่กว่า ใช้รถไถนา ควายก็กลายเป็นไม่มีค่าอะไร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งบอก นี่ ต่อไปถ้าน้ำมันแพงขึ้นๆ นี่ ชาวนาเหล่านี้จะทำยังไง ได้ทิ้งควายไปแล้ว เพราะควายตัวนี้ก็ต้องมาฝึก ฝึกกันใหญ่ เข้าโรงเรียนฝึกหัดไถนา เพราะถูกทอดทิ้งไปตั้งหลายปี จะไถนาไม่เป็น ตอนนี้สู้น้ำมันไม่ไหว แล้วน้ำมัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่ง ก็ไม่มีวันที่จะลงหรอก
"ความจริง เมื่อควายใช้ไถนาได้ก็น่าจะใช้ควายไถนา เดี๋ยวนี้ใช้ควายเหล็กที่มันกินน้ำมันแทนหญ้า ก็เลยชาวนาก็ยิ่งลำบาก อันนี้ท่านนายกฯ ก็คงช่วยสนับสนุนให้ชาวนาใช้ควายอย่างเดิม ก็ไม่เสียเกียรติอะไรเลย น่ารักออก รู้สึกมีชีวิตชีวาดี อย่างน้อยเราก็ผลิตข้าวได้มากอย่างเดิม"
ต่อไปก็อยากจะพูดถึงสถานการณ์ในภาคใต้ ที่เป็นปัญหาสืบเนื่องมาตั้ง 4-5 ปีแล้ว อันนี้ก็น่าหนักใจ แต่ทราบว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ก็ดีขึ้น ค่อยๆ ดีขึ้น ที่หนักใจเพราะว่าประชาชนหลายคนมากเชียวที่ไม่สามารถออกไปทำมาหากินตามปกติ ได้ ซึ่งอันนี้เป็นของที่น่าเป็นห่วงมาก เขาก็คงทุกข์ใจ แต่ได้ทราบข่าวว่าตอนนี้ค่อยๆ ดีขึ้น ข้าพเจ้าเองเมื่อคราวที่แล้วก็ไม่สบาย หมอไม่ได้ให้ไปภาคใต้ ไม่ใช่ว่าจะละทิ้งเขา ก็ตั้งใจว่าปีนี้ก็จะไปอีก
ข้าพเจ้าก็อยากจะเอ่ยถึงคนไทยที่มีความ คนไทยหนุ่ม ที่มีความรักชาติ คือข้าพเจ้าแค่ทราบมานี่แค่ 2 คน แต่คงจะมีเยอะแยะมากเชียว อย่างนายตำรวจผู้กล้าหาญซึ่งสละชีวิตไปแล้วเพื่อรักษาดินแดนภาคใต้ คือ ร.ต.อ.ธรนิศ ศรีสุข ที่เรียกว่าผู้กองแคน สอบได้ที่ 1 แล้วก็ทางตำรวจก็ให้เลือกได้ คนที่สอบได้ที่ 1 ว่าจะเลือกไปอยู่ที่ไหน ไปทำงานที่ไหน ก็คนไทยที่ยอดเยี่ยมเนี่ย ร.ต.อ.ธรนิศเนี่ย ก็เลือกที่จะไปอยู่ที่ภาคใต้ 3 จังหวัดภาคใต้ แล้วคนที่ 2 ที่ข้าพเจ้าทราบจากหนังสืองานศพเขา ก็เลยเขียนจดหมายไปถึงคุณพ่อคุณแม่เขา ไม่ทราบจะทำยังไง เพราะว่าไม่ทราบก่อนนาน ที่จะไปงานศพเขา คือ ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ นี่ก็อีกคน เลือกที่จะไปรักษาความปลอดภัยของประเทศชาติในที่ที่อันตราย ในที่ซึ่งบ้านเมืองกำลังต้องการความคุ้มครองป้องกัน เขาบอก เขาเนี่ยก็ไม่ใช่ว่าไม่กลัว ก็กลัวเหมือนกัน แต่มีความรู้สึกว่าเป็นคนไทย แล้วก็เรียน เรียนมาเป็นตำรวจ น่าที่จะไปปกป้องคุ้มครองในที่ที่ยากลำบาก เขาทั้งสองนี่เขาเลือกไปที่นี้ แล้วถึงเวลาเขาก็อยู่ครบ 6 เดือน ครบเทอม ถึงเวลากลับเขาก็ไม่กลับ เพราะประชาชนรักแล้วก็ไว้ใจ ก็ขอให้อยู่ต่อ ก็เสียชีวิตที่นั่นอีก
ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเมืองไทยน่าจะรอดพ้นจากอันตรายทั้งหลายได้ เพราะว่ามีคนที่ดี ที่ยอดเยี่ยม ที่ยอมสละ แทนที่จะไปหาที่ที่จะทำงานไปได้สูงที่อะไร กลับยินดีไปอยู่ในที่ที่เรียกว่าต้องปกป้องประชาชน ต้องปกป้องพื้นที่ของประเทศไทย ข้าพเจ้าอยากจะบอกกับท่านอีกอย่าง คือว่า วันเกิดของข้าพเจ้าก็มีผู้คนถวายเงินกันหลายคน แล้วเงินนั้นน่ะ ข้าพเจ้ารวบรวมแล้วก็ไปสร้างศูนย์ครูที่ จ.ปัตตานี เพราะเห็น สงสารพวกครูที่สุด ที่ว่าเดี๋ยวโดนฆ่าๆ อยู่อย่างนั้น แล้วคงจะโดนฆ่าตลอดไป ข้าพเจ้าก็เลยเอาเงินที่ได้รับ ที่ท่านทั้งหลายให้วันเกิดเนี่ย ปีที่แล้ว สร้างศูนย์ครู ตอนนี้ยังไม่เสร็จดี เกือบเสร็จ เกือบเสร็จแล้ว ที่ว่า มีที่อยู่ มีที่รับประทาน แล้วก็มีห้องสมุดต่างๆ ที่พวกครูทั้งหลายจะไปพัก
แล้วก็มีอีกเรื่องที่ทำให้ชื่นใจ คือข้าพเจ้าได้จัดนิทรรศการศิลป์แผ่นดิน ครั้งที่ 5 ขึ้นที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ในโอกาสที่ฉลองทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และเจริญพระชนมายุ 80 พรรษา ข้าพเจ้าเองไปดูเป็นครั้งแรกตกตะลึง คือไม่เคยคิด ไม่เคยคิดว่าเด็กศิลปาชีพของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าเลือกมาเอง เลือกมาจากหมู่บ้านที่ จากครอบครัวที่ยากจนที่สุด คือว่าเห็นเขามีลูกแยะแล้วก็ยากจน ก็อยากที่จะแบ่งเบาภาระ ตอนนั้นก็ยังคิดไม่ได้ถึงเดี๋ยวนี้ ก็คือแค่ว่าให้เขามาทอผ้า ผู้ชายก็หัดมาแกะสลัก หัดมาเขียนรูปอะไรต่างๆ แล้วก็ให้เงินประจำวันเขา ให้เงินเขาตลอดไป ปรากฏว่าเขาพออกพอใจ แล้วเขามุมานะที่จะทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง จนเดี๋ยวนี้ถ้าเผื่อท่านมีโอกาสอยากจะเชิญให้ไปดูที่พระที่นั่งอนันตสมาคม นั่นเป็นฝีมือของเด็ก เด็กของข้าพเจ้าที่ข้าพเจ้าเลือกมาเอง ไม่ได้เลือกจากคนที่มีฝีมือเก่ง เลือกจากที่เขาจนแล้วมีลูกมาก เราก็เอามาอยู่กับเราแล้วก็สอนเขาให้ทำอะไรต่างๆ ให้ แล้วก็ เขาอยู่ทำงานกับเราสัก 3 อาทิตย์ก็ผลัดเวรกันกลับบ้านไปเยี่ยมบ้าน เขาก็จะได้เงินทุกวันที่ทางมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพให้เขา เขาก็จะเก็บเงินแล้วก็เอา ถึงเวลากลับบ้านก็เอาเงินไปช่วยเหลือครอบครัวเขา เป็นเด็กหนุ่มๆ สาวๆ ทั้งนั้น พอข้าพเจ้าได้ไปเห็นฝีมือเขาตกใจเลย ทำไมถึงสวยอย่างนี้ ฝีมือปัก โดยมากเป็นผู้หญิงฝีมือปัก ฝีมือแกะสลักเป็นพวกฝ่ายชาย สวยเหลือเกิน เห็นแล้วขนลุกหมดเลย ว่านี่หรือเป็นเด็กยากจนที่เราเลือกเอามา จบแค่อย่างสูงก็ ป.4 สวยเหลือเกิน
ข้าพเจ้าไม่เคยคิดเลยว่าคนไทยของเราซึ่งจบ ป.4 บางคนจบไม่ถึง ป.4 จะออกมาเป็นศิลปินระดับโลกได้ เพราะชาวโลกมาดูแล้วอ้าปากค้าง ระดับโลกเลย ซึ่งข้าพเจ้าก็คิดไว้ว่า ถ้าโอกาสมีมาถึงที่เขาจะเชิญข้าพเจ้าไปที่อเมริกา แต่เขาทาบทามมากว่าปีแล้วว่าเชิญไปที่อเมริกา ข้าพเจ้าจะเอาผลงานนี้ไปแสดงให้คนไทยที่อเมริกาดู ไม่ได้คิดไปให้ชาวอเมริกันดู ประเดี๋ยวเขาจะว่า แหมเขากำลังเงินทองฝืดจะเอามาขายหรืออะไร จะไปโชว์ฝีมือคนไทยเฉยๆ อย่างนั้น แต่ตอนนี้เขายังไม่ได้ย้ำเชิญมา เพราะว่าเขาเชิญข้าพเจ้าให้ไปรับรางวัลพิเศษอะไรในฐานะที่ว่าเป็นพระราชินี แล้วเที่ยวไปดูรอบพระราชอาณาจักร เขาก็ พวกคณะชาวต่างประเทศเขาก็จะให้รางวัล เขาบอกว่าเมื่อไหร่จะไปได้เขาจะมอบรางวัลให้ ก็ยังบังเอิญไปไม่ได้
ขอให้ทุกท่านไปดูนะคะ จะได้ดูแล้วมันแบบชื่นใจว่า โอ้โห คนไทยนี้ฝีมือหนึ่งในโลก หนึ่งในโลกจริงๆ คือเด็กที่ข้าพเจ้าเอามาตอนอายุ 12-13 เดี๋ยวนี้ 20 โอ้โห แกะสลักไม้ก็เหลือเกิน แล้วก็ทำถมทองทำอะไรจริงๆ เลย ตกใจ ไปเห็นแล้วตกใจ ฝรั่งถามบอกนี่จบจากโรงเรียนศิลปะ มหาวิทยาลัยศิลปะของไทยหรือ บอกเปล่านี่เป็นลูกชาวบ้านแท้ๆ เลย จบ ป.4 แล้วออกมาเป็นอย่างนี้ เพราะความที่เขาซาบซึ้ง เพราะ เราจะพูดถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ที่ประเทศไทยบรรพบุรุษของเราสละชีวิตเพื่อปกป้องผืนแผ่นดินมาด้วยเลือด เนื้อ ด้วยชีวิต แต่เสียดายตอนนี้ท่านนายกฯ เขาไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์แล้วนะ ฉันก็ไม่เข้าใจ เพราะตอนที่ฉันอยู่ เรียนอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ก็แสนไม่มีประวัติศาสตร์อะไรเท่าไร แต่เราก็ต้องเรียนประวัติศาสตร์ของสวิส แต่เมืองไทยนี่ โอ้โห บรรพบุรุษเลือดทาแผ่นดิน กว่าจะมาถึงที่ให้พวกเราอยู่ นั่งอยู่กันสบาย มีประเทศชาติเนี่ย เรากลับไม่ให้เรียนประวัติศาสตร์ ไม่รู้ว่าใครมาจากไหน เอ๊ะ เป็นความคิดที่แปลกประหลาด
อย่างที่อเมริกา ถามไปเขาก็สอนประวัติศาสตร์ สอนประวัติศาสตร์บ้านเมืองเขา ที่ไหนประเทศไหนเขาก็สอนกัน แต่ประเทศไทยไม่มี ไม่ทราบว่าแผ่นดินนี้มันรอดมาอยู่จนบัดนี้เพราะใคร หรือว่ายังไงกัน โอ้โห อันนี้น่าตกใจ แต่ชาวต่างประเทศยังไม่ค่อยทราบว่า นักเรียนไทยนี่ไม่มีการสอนประวัติศาสตร์ชาติเลย ตอนนี้ก็รู้สึกว่า สิ่งที่อยากพูด อยากคุยอวดก็หมดแค่นั้นเองแล้วค่ะ (ทรงพระสรวล) พิมพ์ไว้ปึกโตเชียว ตอนนี้หมดแล้วค่ะ ก็ชื่นใจ ขอบพระคุณทุกท่านมากที่อุตส่าห์อดทนนั่ง แล้วก็ฟังข้าพเจ้าคุยเป็นคุ้งเป็นแคว แล้วคุยไปพลาง แล้วยังขอนายกฯ ขอทำนั่นทำนี่อีก ก็ขอบพระคุณมากค่ะ
จากนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ กลับ.
ที่มา ข่าวหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ วันที่ 12 สิงหาคม 2551